Custom Search

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สารอาหารในผัก..ต้องกินแบบวาไรตี้/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ





สารอาหารในผัก..ต้องกินแบบวาไรตี้

ผักเป็นที่รวมของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นก็จริง แต่ผักแต่ละอย่างมีสารอาหารไม่เหมือนกัน ถ้าอยากได้วิตามินครบถ้วนจึงต้องกินแบบวาไรตี้ อย่าสั่งแต่ผักคะน้าหมูกรอบของโปรดอย่างเดียว เดี๋ยวขาดทุนไม่รู้นะ..


อินโดล ... สาวๆ ที่ไม่อยากปวดหัวกับมะเร็งเต้านม ต้องได้รับสารตัวนี้เป็นประจำ แต่หาได้จาก ผักตระกูลกะหล่ำที่เดียวเท่านั้น


อัลลิซัลไฟด์ส ... ร่างกายเรามีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ล้างสารพิษอยู่ก็จริง แต่ก็ต้องได้สารอาหารอย่างอัลลิซัลไฟด์สเข้าไปกระตุ้นด้วย เอนไซม์ถึงจะทำงานได้ดี อัลลิซัลไฟด์สมีอยู่ในหอมหัวใหญ่ หอมแดง ต้นหอม กระเทียม


กลูคาเรต ... เป็นฮี่โร่ยอดขยันที่จะช่วยป้องกันเราจากมะเร็ง มีอยู่มากในมะเขือยาว มันฝรั่ง พริกไทย


ไลโคเพน ... สารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดมาเพื่อป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากของท่านชายโดยเฉพาะ พบกับเขาได้ในมะเขือเทศลูกแดงๆ ยิ่งแดงยิ่งดี


เควอร์เซติน ... สารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่ง ใครอยากผิวสวยหน้าใสกิ๊งห้ามพลาด มันฝรั่ง บร็อคโคลี่ หอมหัวใหญ่ เพราะนั่นล่ะ .. เควอร์เซตินทั้งนั้น!


ลูทีน ... สารที่ขึ้นชื่อเรื่องลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวแข็งแรง ไม่เหี่ยวง่าย ปิดโอกาสเป็นมะเร็ง แถมยังหาง่ายเพราะมีอยู่ในผักใบเขียวทุกชนิด


ฟลาโวนอยด์ส... เขาคือนักปราบเชื้อโรคทั่วราชอาณาจักร ช่วยให้ภูมิต้านทานแข็งแรง เหมาะสำหรับหญิงเหล็กที่ต้องทำงานโอเวอร์โหลดเป็นประจำ มีมากในถั่ว กระเทียม


เบต้าแคโรทีน ... ชื่อนี้ที่คุณรู้จักกันดี เขาคือพระเอกยอดนิยมในวงการความงาม เพราะสามารถปราบอนุมูลอิสระให้ลงไปกองกับพื้นได้ในหมัดเดียว และยังป้องกันมะเร็งในปอดให้สิงห์นักสูบได้อีกด้วย อยากพบเบต้าแคโรทีน อย่าลืมมองหาแครอท ผักใบเขียวทุกชนิด พริก ฟักทอง รับรองไม่ผิดหวัง






กินถนอมลำไส้ใหญ่/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ



กินถนอมลำไส้ใหญ่

สุขภาพคนเราจะดีจะแย่ลำไส้ใหญ่อวัยวะหนึ่งในระบบทางเดินอาหารมีส่วนสำคัญไม่น้อย

ปกติแล้ว ร่างกายคนเราจะมีจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียชนิดดีและร้ายในปริมาณสมดุลกัน แต่ผู้ที่มีปัญหาระบบขับถ่ายจะทำให้กากอาหารที่สะสมอยู่ในร่างกายนานส่งเสริมให้แบคที เรียร้ายเพิ่มขึ้น มันจะสร้างสารพิษแก่ร่างกายและก่อโรคมากมาย

วิธีดูแลลำไส้ใหญ่ ไม่เพียงแค่การเลือกรับประทานอาหารครบห้าหมู่เท่านั้น หากยังต้องให้ผลในการสร้างความสมดุลระหว่างจุลินทรีย์ ชนิดดีและร้ายในลำไส้ใหญ่อีกด้วย

จากการศึกษาประชาชนในเมืองฟรามิงแฮม สหรัฐ พบว่าการกินธัญพืช (ตระกูลข้าว) ไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง ฯลฯ แทนแฮมเบอร์ เกอร์และพาสต้า มีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือด (คอเลสเตอรอล) ความดันเลือด น้ำหนัก และระดับอินซูลิน เพราะการกินแป้งหรือน้ำตาลมีส่วนทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นเร็ว ตามด้วยระดับอินซูลินในเลือดสูง เพื่อนำน้ำตาลเข้าเซลล์

ระดับอินซูลินที่สูง มีผลให้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ตับ สังเคราะห์ไขมันเก็บไว้ ทำให้ไขมันตามอวัยวะต่างๆ เพิ่มขึ้น เราจึงอ้วนขึ้น และยังทำให้เส้นเลือดหดตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน และกระตุ้น ส่วนไฮโปธาลามัสของสมอง ทำให้หิวง่าย

เพราะฉะนั้นจึงควรลดการบริโภคแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะแป้งและน้ำตาล ตลอดจนธัญพืชขัดสีควรเลิกกิน

หันมากินธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายแคปซูลที่ปล่อยน้ำตาลช้าๆ ทำให้การย่อยช้าลง ผลคือ น้ำตาลในเลือดจะเพิ่มช้าลง ระดับอินซูลินจะต่ำลง

ไม่กินผลไม้หรือผักใต้ดิน เช่น มันฝรั่ง แครอต หัวบีต เปล่าๆ พืชชนิดนี้มีแป้งและน้ำตาลสูง ควรกินร่วมกับอาหารอย่างอื่น โดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อให้เส้นใย (ไฟเบอร์) ช่วยชะลอการย่อย และดูดซึมให้ช้าลง

หรือในบางมื้อควรกินผัก (ที่ไม่ใช่ผักใต้ดิน) ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ ถั่ว เมล็ดพืช ถั่วเปลือกแข็ง ผสมผสานกันหลายๆ อย่างเป็นหลักแทนข้าว หรืออาหารจำพวกแป้ง

นอกจากจะช่วยถนอมลำไส้ใหญ่ ยังเป็นผลดีต่อสุขภาพด้วย


อาหารที่คนทำงานต้องไม่พลาด/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ







อาหารที่คนทำงานต้องไม่พลาด

หนุ่มสาวที่ต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศทุกๆ วัน ควรได้รับอาหารเสริมอย่างเต็มที่ มาดูกันว่า อาหารอะไรบ้างที่เหมาะกับคนทำงานอย่างเราๆ ค่ะ


1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงานช่วยป้องกันโรคเหน็บชาที่คนที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานนานๆ มักจะเป็นกัน แถมยังป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย



2. วิตามินบี มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สารให้ความกระปี้กระเปร่า" มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น สาวๆ ที่ทำงานนานจนล้าห้ามพลาด



3. วิตามินซี ที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด จะได้ทำงานอย่างสดใสไปทั้งวันเลย



4. น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย



5. ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ



6. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลีย และการเป็นตะคริวจากการนั่งหรือยืนนานๆ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสด้วย สาวๆ ที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยิ่งควรดื่มบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง



7.น้ำใบบัวบก ทำงานมาทั้งวันช่วงบ่าย สาวๆ ก็คงจะเพลีย ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบกเพราะเป็นน้ำเพิ่มพลังชั้นยอด เป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลียช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดีด้วย




8. ทานของหวานหลังอาหารกลางวัน จะทำคงความสดชื่นได้ยาวนานขึ้น เพราะรสเปรี้ยวและรสหวานนั้นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ยิ่งตอนบ่ายๆ อาจจะง่วง ผลไม่รสเปรี้ยวคือคำตอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะกระตุ้นให้สาวๆ กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้



9. ถั่ว ยิ่งคนที่ต้องใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืองานที่ต้องใช้สายตานานๆ ควรมีถั่วติดโต๊ะไว้ด้วย เพราะถั่วมีวิตามินบี 2 บำรุงสายตาได้ดี



10. วิตามินซีและธาตุเหล็ก เพราะเวลาที่มีรอบเดือนร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิช่วงนั้นของเดือนจึงเป็นเวลาที่สาวๆ อย่างเราต้องทางวิตามินซี และธาตุเหล็กมากๆ วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น



11. ชาเขียว นอกจากจะทำให้ลมหายใจสดชื่นไม่มีกลิ่นปากแล้ว ถึงชาเขียวที่ทานแล้วยังช่วยลดมลพิษในห้องทำงานได้ด้วย แค่วางทิ้งไว้เฉยๆ มันก็จะดูดฝุ่นละอองให้เราเอง ทำให้ลดการเป็นภูมิแพ้ไปโดยอัติโนมัติ

12.ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมือเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทันกับรสชาติเผ็ดร้อน เช้าๆ ควรทานเป็นอาหารรสกลางๆ ไปก่อนจะดีกว่า



13. ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว ก่อนจะดื่มกาแฟควรดื่มน้ำผลไม้ก่อน 1 แก้ว เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ได้รับคาแฟอีนมากเกินไป



14. งดชากาแฟในเวลาเย็น เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาสมองก็จะล้า คิดอะไรไม่ออกทำงานได้ไม่เต็มที่


15. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัดในมื้อเที่ยง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจะทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า ขาดความคล่องตัวที่คนทำงานต้องมี


รู้ไว้ นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ




รู้ไว้ นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง
ต้นเหตุของสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ ความจำสั้น
สมอง คืออวัยวะสำคัญ มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอยังทำร้ายสมองด้วยเช่น

1.ไม่ทานอาหารเช้า หลาย คนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

3. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)

4. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง


5. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์


6. มลภาวะ สมอง เป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

7. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้


8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง


10. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ



รู้หรือยังค่ะว่าสมองมีความสำคัญมากแค่ไหน ดังนั่นเราควรที่จะหันมาบำรุงสมองแทนการทำร้ายสมองกันดีกว่ามั้ยครับ

รู้ไว้ นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ

อาหาร 10 อย่าง ที่ควรมีไว้ในตู้เย็น/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ




อาหาร 10 อย่าง ที่ควรมีไว้ในตู้เย็น


น้ำเปล่า

"
น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

ผัก

"
ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

ไข่ไก่

"
ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

นม

"
นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีน ซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง

เนื้อปลา

"
เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสารอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท ดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ผลไม้รสเปรี้ยว

"
ผลไม้" ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

โยเกิร์ต

"
โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตแต่ละรสและยี่ห้อนั้นๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

แอปเปิ้ล

"
แอปเปิ้ล" มีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบต้าแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

ถั่ว

"
ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

ธัญพืช

"
ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข้าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำข้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้ จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มาก ทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์



วันนี้เขอนำอาหารผิวมาเสนอ/ผลไม้เพื่อสุขภาพ ง่ายๆของคุณ



วันนี้เขอนำอาหารผิวมาเสนอให้กับทุกคนได้ทานกันนะคะ เพื่อจะได้ใผิวพรรณที่สวยใส ผุดผ่องกันทุกคนค่ะ

1. ผลไม้สีเหลือง

ผักผลไม้กลุ่มนี้มีวิตามินเอตามธรรมชาติ หรือกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งที่เรารู้จักกันในกลุ่มนี้คือ เบต้าแคโรทีนนั่นเอง สารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวเราจากแสงยูวี ป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งทางเดินอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดขาวอีกด้วยค่ะ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ได้แก่ แครอท ส้ม มะละกอ ฟักทอง แอพริคอต มะเขือเทศ แตงโม เป็นต้น

2. ผลไม้สีม่วง

ในผักผลไม้กลุ่มนี้จะมีสารแอนโทไซยานิน และโอพีซี ซึ่งเป็ฯสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดไขมันตัวไม่ดีคือ LDL ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม ปอด และกระเพาะอาหาร ที่สำคัญช่วยชะลอการเหี่ยวของผิวหนังได้ค่ะ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ได้แก่ องุ่นดำ ราสเบอร์รี่ผักกาดม่วง เชอร์รี่ มะเขือม่วง บลูเบอร์รี่ ซึ่งบลูเบอร์รี่นี้ยังสามารถช่วยเสริมสร้างการสื่อสารกันระหว่างเซลสมอง ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมตามวัยได้อีกด้วยค่ะ

3. ผลไม้สีเขียว

ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ คะน้า ผักบุ้ง บรอกโคลี่ ปวยเล้ง ถั่วงอกสด พริกหวานเขียว เป็นต้น ผักสีเขียวจะมีสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่สำคัญซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตา ป้องกันการเกิดตาบอดในวัยชรา และยังมีเส้นใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ

4. ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

เป็นเคล็ดลับความงามจากญี่ปุ่นค่ะ คือสาวๆ ญี่ปุ่นจะรับประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นประจำ สังเกตได้จากอาหารญี่ปุ่นจะมีเต้าหู้ประกอบหลายเมนูค่ะ ในผลิตภัณฑ์จากถั่งเหลืองจะมีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันตัวไม่ดี LDL ในเลือดและพิ่มไขมันตัวดี HDL อีกด้วยค่ะ และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ นอกจากนี้ถั่วเหลืองมีคุณสมบัติเป็น Phytoestrogen คือมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิง ถั่วเหลืองจึงช่วยชะลอการเหี่ยวแห้งของผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอีกด้วยค่ะ

5. ปลาแซลมอน

นอกจากปลาแซลมอนแล้วยังมีปลาทูน่า ปลาโอ ที่มีโอเมกา 3 ซึ่งมีสารบำรุงผิวที่ต่างจากสารอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความคงตัวของผนังเซล จึงช่วยให้ทนต่อการทำลายของอนุมูลอิสระ และช่วยเพิ่มการกระชับผิวอีกด้วยค่ะ

6. โยเกิร์ต

ในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียที่ดีกับร่างกาย จะช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ กำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค ปรับภูมิคุ้มกันให้สมดุลแข็งแรงขึ้น ขับถ่ายคล่องขึ้น การดูดซึมสารอาหารต่างๆ ดีขึ้น และลดการอักเสบของร่างกาย ควรทานโยเกิร์ตที่พร่องมันเนยนะคะ จะได้ไม่อ้วน

7. เห็ดทุกชนิด

เห็ดจะมีสารอาหารที่จำเป็นเกือบครบทุกชนิดทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีไขมันต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอลปน การทานเห็ดจึงช่วยให้อิ่มท้องได้นานและไม่อ้วนค่ะ นอกจากนี้เห็ดมีสารซิลิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันมะเร็งและมีทองแดง ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวอีกด้วยค่ะ


วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มังคุด ลำไย ลองกอง ยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ



มังคุด ลำไย ลองกอง ยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ

มังคุด...ลองกอง...ลำไย เป็นผลไม้ไทยๆ ที่มีรสชาติอร่อยลิ้น มีประโยชน์มากมาย รวมถึงสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในช่วงที่ผลไม้มีปัญหาผลผลิตล้นตลาด ทำให้ราคาแสนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ การหันมาบริโภคผลไม้ไทย จึงถือเป็นการได้กำไร 2 ต่อ คือนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว ยังทำให้สุขภาพดีอีกด้วย

อ.สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกถึงคุณประโยชน์ของผลไม้ไทยๆ อย่างมังคุด ลองกอง และลำไยว่า สำหรับมังคุดนั้นเป็น ราชินีผลไม้หรือ Queen of fruit เนื่องจากรสชาติของมังคุดอร่อยมาก มีเอกลักษณ์ หอมหวาน แต่ไม่หวานจัด แบบอมเปรี้ยวอมหวาน รสชาติกินขาดผลไม้ทุกชนิด ขณะที่คุณประโยชน์ทางสารอาหารก็มีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็งไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีแคลเซียมซึ่งปกติมีมากในนม เนื้อสัตว์ ในผลไม้ไม่ได้มีมากมายแต่มีในมังคุด อีกทั้งยังมีฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้เป็นปกติ

แต่ที่โดดเด่นมากที่สุด คือ ในมังคุดมีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร หากอาหารไม่ย่อยหรือดูดซึม เมื่อรับประทานมังคุดเส้นใยอาหารตัวนี้ก็จะไปเกาะเป็นก้อนอมน้ำมีน้ำหนัก ดึงเอาสารก่อมะเร็งในไขมัน น้ำตาล ที่อยู่ระหว่างมื้อออกไปทางอุจจาระ ดังนั้น หากใครที่ท้องผูกเป็นประจำหรืออยากลดน้ำหนักจึงขอแนะนำให้กินมังคุด

ส่วนลองกองและลำไยนั้น อ.สง่า ชี้ให้เห็นความแตกต่างกับมังคุดว่า ลองกองจะมีวิตามินสูงกว่ามังคุด มีไฟเบอร์ แคลเซียม คล้ายมังคุด แต่มีเสน่ห์ที่เนื้อใส รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ขณะที่ลำไย นอกจากมีรสหวานกรอบแล้ว ยังมีแคลเซียมสูงกว่าเมื่อเทียบมังคุดและลองกอง อีกทั้งให้พลังงานสูงกว่าผลไม้อีก 2 ชนิดด้วย

อย่างไรก็ตามในการกินลำไยซึ่งเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากกว่าผลไม้ทั้ง 2 ชนิด การกินลำไย จึงต้องระวังสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เป็นเบาหวาน อ้วนลงพุง แต่ในคนที่มีสุขภาพปกติสามารถกินลำไยได้ แต่ก็ไม่ควรกินมากจนเกินไป

แนะนำวิธีการรับประทานผลไม้ง่ายๆ ด้วย 3 ข้อ คือ

1.ควรกินผลไม้ให้หลากหลายชนิด อย่าซ้ำซากจำเจ ทั้งมังคุด ลองกอง ลำไย สามารถกินได้ใน 1 วัน สลับกัน การซื้อมังคุดกิน 3 กิโลกรัม ในวันเดียวคงไม่ถูกต้องนัก

2.ควรเลือกกินผลไม้ตามฤดูกาล ฤดูกาลมังคุดก็กินมังคุด ฤดูกาลลำไยก็กินลำไย แม้ว่าสมัยนี้ผลไม้จะสามารถออกผลได้เกือบทุกฤดูกาล แต่สารอาหารคุณค่าความสดสู้ในฤดูกาลของผลไม้ชนิดนั้นๆ ไม่ได้ และ

3.ควรกลับมากินผลไม้ไทยมากขึ้น เพราะผลไม้ไทยอร่อย สด ราคาถูก และให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าผลไม้นอก เช่น ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องใส่รังไว้นานๆ ใช้เวลาในการขนส่ง วิตามินซีที่ควรได้รับอาจหายไปแล้วกว่าครึ่ง ต่างจากผลไม้ที่เด็ดเมื่อวานซึ่งมีวิตามินซีมากกว่าอยู่แล้ว



วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาหารแก้โรคอ้วน นำขบวนด้วย สเต๊ก ไข่ แอปเปิ้ลและโยเกิร์ต




อาหารแก้โรคอ้วน นำขบวนด้วย สเต๊ก ไข่ แอปเปิ้ลและโยเกิร์ต

โปรตีนจากเนื้อจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อต่างๆ ขณะที่ ไข่ขาวและไข่แดง กินได้ไม่เป็นภัยกับหัวใจ และ แอปเปิ้บยังช่วยให้อิ่มนาน เพราะมีกากใยถึง 4-5 กรัมต่อลูก...

เปิดเผยพวกยอดอาหาร จากการศึกษาพบว่า ซึ่งนอกจากไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังช่วยให้น้ำหนักลดลงด้วย

มันอาจจะก่อความผิดคาดขึ้นบ้าง เมื่อยอดอาหารนำขบวนโดย สเต๊กเนื้อ ซึ่งวารสารวิชาการ "โภชนาการบำบัดอเมริกัน" เปิดเผยว่า มันทำให้น้ำหนักลดได้มากกว่า การบริโภคอย่างอื่น แต่จำกัดเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ เนื่องจาก โปรตีนในสเต๊กจะช่วยรักษามวลของกล้ามเนื้อต่างๆ ระหว่างที่น้ำหนักลดเอาไว้ให้



ไข่ เป็นยอดอาหารอีกอย่างหนึ่ง ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐหลุยเซียนา ของสหรัฐฯ แนะนำให้สวาปามทั้งไข่ขาวและไข่แดง ไข่ไม่เป็นภัยกับหัวใจ และยังช่วยลดพุงด้วย เคยมีผู้พยายามลดน้ำหนักกินไข่กับขนมปัง และเยลลี่ เป็นอาหารเช้า ลดน้ำหนักได้ มากกว่าผู้ที่กินขนมปังกับอย่างอื่น ที่ให้ปริมาณแคลอรีมากเท่าๆกัน แต่งดไข่ถึง 2 เท่า



ผลแอปเปิ้ล มหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท ศึกษาพบว่า ผู้ที่กัดแอปเปิ้ลกินเคี้ยวกร้วมๆ รองท้องก่อนที่จะกินพาสต้า จะกินอาหารได้น้อยกว่าเพื่อนที่กินอย่างอื่นไปก่อน แอปเปิ้ลแต่ละลูกจะให้กากใยมากระหว่าง 4-5 กรัม จึงทำให้อิ่มทน ทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากระบบเผาผลาญอาหารของร่างกายด้วย ซึ่งทำให้พุงออกได้ง่าย



นอกจากนั้น ยังได้แก่ พริก โยเกิร์ต ถั่วแขกชนิดเม็ดแดงและเหลือง ผลอโวคาโด เนยแข็งอิตาลี และน้ำมันมะกอก



สินค้ารวม